สำหรับทุกคนที่เป็น"ครู"



คุณจะต้องมีความรักในการสอนและก็อยากที่จะสอน

 

                   ฉันมาเป็นครู เพราะในวันเด็กนั้นฉันรู้สึกเกียดชังโรงเรียนมากเรียกได้ว่าเกียดทุกเวลาและทุกนาทีที่อยู่ที่นั่นเลยทีเดียว โดยเฉพาะตั้งแต่เกรด 6 เป็นต้นมาและร้ายกว่านั้นก็คือตอนเกรด 8 ฉันถูกจับไปนั่งอยู่ด้านข้างขวามือ ติดกับทางเข้าห้องผู้ช่วยครูใหญ่ คุณคงพอจะนึกออกใช่ไหมว่าความรู้สึกของเด็กแสบคนหนึ่งจะเป็นเช่นไร ฉันเป็นเหมือนฝันร้ายของครูทุกคน ฉันจำได้ว่ามีเด็กที่นั่งหลังห้องคนหนึ่งชอบส่งเสียงดังพร้อมกับคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ซึ่งทำให้เด็กที่นั่งอยู่รอบๆ ฉันพากันหัวเราะสนุกสนาน และฉันก็มักจะถามแบบหนุนส่งไปเลยว่า ทำไมพวกเราต้องมาเรียนเรื่องไร้สาระพวกนี้ด้วยหรือ? ” ทั้งๆ ที่ตัวฉันเองก็ชอบที่จะเรียน อยากที่จะเรียน ครูก็คอยเตือนอยู่เสมอๆ ว่าอย่าไปเข้ากลุ่มกับพวกเขาเลย ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้ฉันแน่ใจว่า ตลอดภาคการศึกษาฉันมักจะทำอะไรที่ค้านกับตัวเองอยู่เสมออย่างเช่น ฉันจะอ่านหนังสือทุกเล่มที่ครูภาษาอังกฤษแนะนำให้อ่านแต่ตัวฉันเองจะไม่ยอมรับว่าฉันได้อ่านหนังสือเหล่านนั้นมาแล้ว ก็เพราะว่าฉันไม่ต้องการจะทำให้เหล่าบรรดาครูทั้งหลายพึงพอใจ และคิดว่าเขาได้สอนอะไรให้แก่ฉันนอกจากนี้ฉันยังชอบพับกระโปรงขึ้น ทำผมกระเซิง ทาขอบตาสีดำเข้ม อีกทั้งยังทาปากด้วยลิปสติกสีขาว และทุกครั้งที่ผู้ช่วยครูใหญ่เห็นเธอก็จะลากฉันเข้าไปในห้องทำงานของเธอ เพื่อจัดการกับหน้าตา ผมเผ้า และกระโปรงที่พับอยู่ให้เรียบร้อย ดังนั้นทุกครั้งที่ฉันเห็นเธอ ฉันจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด เพื่อจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อนที่จะถูกผู้ช่วยครูใหญ่จัดการ แต่ความเกเรของฉันก็มิได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น เพราะฉันได้เข้าร่วมโครงการสูบรี่ตอนกลางวันในห้องน้ำอีกด้วย ดังนั้นหากคุณอยากจะเข้าห้องน้ำในตอนพักรับประทานอาหารกลางวันละก็ บอกได้คำเดียวว่า....หมดสิทธิ์!
                   ตอนมัธยมปลายนั้น อาจารย์ที่ปรึกษาผู้ซึ่งไม่เคยให้ความสนใจและใสใจฉันมาก่อน ได้เรียกฉันเข้าไปคุยเกี่ยวกับอนาคตของฉันว่าฉันจะทำอะไรต่อไป หลังจากที่เขาพิจารณาและเซ็นรับทราบประวัติพฤติกรรมอันเลวร้ายของฉันแล้ว เขาค่อยถามฉันว่า เมื่อโตขึ้นฉันวางแผนสำหรับอนาคตของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง? เมื่อฉันได้ยินคำถามที่ถูกใจนั้น
                   ฉันจึงยิ้ม และรีบตอบว่า  ฉันจะไปเป็นครู
แต่อาจารย์ที่ปรึกษาของฉันกลับหัวเราะลั่น มองฉันด้วยสายตาที่ไร้ความรู้สึก แล้วพูดว่า
                 “ เธอน่ะไม่มีวันที่จะเป็นครูหรอก   เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันจึงรีบลุกขึ้นแล้วโน้มตัวไปใกล้โต๊ะทำงานเขาแล้วพูดว่า  อาจารย์ไม่รู้จักตัวหนูเลยสักนิดพร้อมกับเดินออกจากห้องทำงานของเขาทันที

สอนหนังสือ...สอนอะไร หรือ สอนใคร

 

                 ฉันรู้ดีว่าตัวเองต้องการจะเป็นครู ตั้งแต่ฉันอายุ 5 ขวบ ฉันไม่เคยคิดอยากที่จะเป็นอย่างอื่นเลย ถึงแม้ว่าฉันจะประพฤติตัวที่โรงเรียนไม่เหมาะสมก็ตาม แต่ฉันก็รู้ว่าการสอน คนนั้นเหมาะสมกับตัวฉันมากที่สุด
                 โชคดีที่ครอบครัวของฉันนั้น ไม่เคยขัดขวางหรือมีคำถามกับเป้าหมายในอาชีพครูของฉัน แม้ว่าฉันจะเป็นนักเรียนที่ไม่น่าพิสมัยของเหล่าบรรดาครูเลย สาเหตุที่ฉันเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าฉันเกลียดการที่ต้องนั่งเฉยๆ เพื่อฟังครูสอน ดังนั้นทุกวันอาทิตย์ ฉันจึงอาสาสมัครไปช่วยงานในชั้นเรียนตั้งแต่อายุยังน้อยๆ และสิ่งนี้เองที่ทำให้ฉันรู้ว่า ฉันมีความชำนาญในการทำงานกับเด็กๆ ฉันชอบและรักที่จะอยู่ร่วมกับเด็กๆ แต่แรงบันดาลใจหลักที่ผลักดันฉันให้มาเป็นครูคือ ประสบการณ์ของฉันนั่นเอง ที่เจอแต่ครูน่ากลัว ไม่น่าพิสมัย และไม่มีจิตใจที่เปี่ยมด้วยความรัก และเมตตาต่อเด็กเลย
                   ฉันจึงเริ่มอาชีพครูของฉัน ด้วยการสอนเด็กกลุ่มที่เขาเกลียดโรงเรียนมากเป็นพิเศษ หากเปรียบไปแล้วก็คงไม่ต่างอะไรไปจากการที่ฉันสอนเด็กๆที่มีความรู้สึกเหมือนกับตัวฉันเอง(เมื่อตอนเด็กๆ) เลยทั้งห้อง และจากประสบการณ์เดิมที่เวลาฉันถามครูว่า “ทำไมต้องเรียนเรื่องนี้ เรื่องนั้นด้วย?” แล้วครูก็กลับบอกฉันว่า “อย่าไปใส่ใจนักเลย เรียนเข้าไปเถอะ” แต่ในใจฉันกลับไม่คิดเช่นนั้นแม้แต่น้อย
                   ดังนั้นในห้องเรียนของฉันเอง ฉันจะให้รางวัลแก่นักเรียนของฉัน เมื่อเขาถามว่า ทำไมเราต้องเรียนเรื่องพวกนี้ด้วย?” เหตุผลที่ฉันให้รางวัลเขาก็เพราะว่าการที่ถามอย่างนี้มันแสดงออกได้ว่า เขามีแก่ใจกับการศึกษาของเขานั่นเอง
                   ฉันเข้าใจตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่า ฉันไม่ได้สอนหนังสือ หรือวิชาการใดๆ แต่ฉันสอนคน...กำลังสอนเด็กๆ ฉันเชื่อว่าทัศนคติที่มีต่อโรงเรียนของฉันจะเปลี่ยนไป หากฉันนั้นเป็นครูคนหนึ่งที่กำลังพยายามคิดว่าทำไมตอนเด็กๆ ฉันถึงได้ทำตัว โง่ บ้า เซ่อ อะไรอย่างงั้น ทั้งๆ ที่จริงแล้ว ฉันเองนั้นเป็นเด็กที่ฉลาดอย่างที่เห็นได้ชัด แต่ทว่าครูกับมองข้ามสิ่งนี้ แล้วจัดให้ฉันเข้าประเภท เด็กที่ไม่สามารถจะทำให้มีศักยภาพขึ้นมาได้โดยที่ไม่เคยมีใครสักคนมาถามฉันว่าทำไม? ฉันถึงประพฤติตัวเช่นนั้น แต่หากว่าเขาถามละก็ฉันก็ยินดีและเต็มใจที่จะตอบคำถามพวกเขา ที่ฉันประพฤติตัวอย่างนั้น เพราะฉันไม่เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาสอนมันสนุกและมีประโยชน์ตรงไหน นอกจากจะทำให้ฉันเสียเวลาไปเปล่าๆ เท่านั้นเอง
                    ฉันจำได้ว่าครูของฉันคนหนึ่งเคยบอกว่า โรงเรียนมัธยมนั้นเป็นรั้วที่กันเด็กๆ วันรุ่นไม่ให้ออกไปสู่ตลาดแรงงานมากเกินความจำเป็น ดังนั้นครูของฉันส่วนใหญ่จึงมีความเชื่อว่าจะต้องทำการควบคุมเด็กๆ อย่างเข้มงวด ซึ่งที่แล้วพวกเขาปราศจากความเข้าใจในธรรมชาติของเด็กหรือโลกของเด็กอย่างสิ้นเชิง
                   ฉันแทบไม่ได้วิชาความรู้อะไรเลย จากการที่ฉันจบระดับมัธยมปลายและทนทู่ซี้เรียนต่อในระดับอนุปริญญาอีก 2 ปี แต่การเรียนมหาวิทยาลัยนั้นก็แสดงให้ฉันเห็นว่า ครูผู้สอนจะไม่สนใจเลยว่าฉันจะมาเข้าเรียนหรือไม่เข้าก็ตาม เพราะนั้นเป็นสิทธิของฉัน แล้วแต่ว่าฉันจะทำอย่างไร ตั้งแต่นั้นมาฉันก็เริ่มรู้สึกว่า การศึกษาเป็นของตัวฉันเอง ทุกชั้นเรียน ทุกหน่วยกิต นั่นหมายถึงทุกก้าวที่ฉันข้าม เพื่อให้เข้าใกล้เป้าหมายของตนเองและเจริญเติบโตไปในทางที่ดีขึ้นถึงแม้ว่า ฉันจะมีช่วงเวลาที่แสนเจ็บปวด (ครูของฉันก็เช่นกัน) ในโรงเรียนก็ตาม แต่ประสบการณ์นั้นก็ได้สอนฉันว่า ถ้าฉันเป็นครูแล้วละก็อะไรที่ฉันไม่ควรทำใน 20 ปีที่ผ่านมา ฉันได้พยายามที่จะออกแบบชั้นเรียนที่ฉันอยากจะเข้าไปดูแล เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปจากเดิมๆ โดนสิ้นเชิง ทั้งตัวของฉันเองและตัวของนักเรียนทุกคน
                ในบางครั้งฉันก็อยากจะเอาเงินเดือนที่ได้จากการสอน เข้าสมทบกองทุนการกุศลใดๆ ไปเสียเลย ความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงรวม 2 ประการคือการเข้ามาสอนเพื่อเงิน หรือเพื่อที่จะพักผ่อนในฤดูร้อน เพราะในบรรดาคนที่ฉันรู้จักหลายๆ คนที่ได้ก้าวมาเป็นครูด้วยเหตุผลนี้นั้นเองล้วนแต่ใช้เงินทองในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนไปกับการฟื้นฟูสภาพกายและใจที่อ่อนล้า ด้วยการกล่าวอ้างว่ามีสาเหตุมาจากพวกนักเรียนนั่นเอง แต่โดยส่วนใหญ่ของฉันนั้น ฉันเชื่อมั่นว่า คนที่จะเป็นครูได้ก็ต่อเมื่อเขาชอบและพร้อมที่จะทำทุกอย่าง โดยไม่คิดเป็นมูลค่า ซึ่งอาชีพนี้น่าจะถือเป็นอาชีพที่หนักที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะต้องใช้ทั้งความเป็นนักวิชาการ นักจิตวิทยา นักสืบ นักเล่นกล ผู้เชี่ยวชาญทางศิลปะ ผู้ควบคุมดูแล ผู้มอบความสนุกสนาน อีกทั้งยังต้องเป็นที่ปรึกษา และเป็นอีกหลายๆ อย่างพร้อมๆ กันในชั้นเรียน
                 สิ่งที่ฉันชอบในการสอนก็คือ การสอนจะช่วยการกระตุ้นให้เกิดทั้งความคิดสร้างสรรค์และผลักดันไปสู่การลงมือปฏิบัติจริง อีกทั้งยังทำให้ฉันตระหนักถึงความรับผิดชอบในการทำงานในห้องเรียนที่มีคุณภาพ ซึ่งบางทีคุณอาจถูกคาดหวังจากผู้บังคับบัญชาของคุณแล้วก็ได้แต่อย่างไรก็ตามในฐานะของครูนักสู้ ผู้ไม่มีเพื่อนยืนเคียงบ่าเคียงไหล่และทำให้มั่นใจได้ว่าสิ่งที่คุณทำนั้นวิเศษแค่ไหน? ดีแล้วหรือยัง? ฉันต้องเป็นคนควบคุมคุณภาพของตัวฉันเองท่ามกลางความรู้สึกกดดันแต่ฉันก็พอใจที่จะทำงานนั้นๆ ด้วยความยินดีและเต็มใจ

อาชีพที่ยิ่งใหญ่

 

                 ในบรรดาอาชีพทั้งหมด อาชีพครูน่าจะเป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉันพิจารณาแล้วว่า ครูนั้นเป็นพวกหัวกระทิที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้อย่างแท้จริง ฉันเรียกมันว่า พลังแห่งระลอกคลื่น
                 เมื่อฉันได้คุยกับกลุ่มเพื่อนที่เคยเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน เกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงต้อของทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ แล้วพวกเราก็หัวเราะกัน เกี่ยวกับการประท้วงการเดินขบวนการยึดมหาวิทยาลัย และการมีเจตคติเย่อหยิ่ง ทะนงตน ซึ่งนั่นมันทำให้พวกเราเชื่อกันว่า ถ้าหากเราแจกใบปลิวให้แก่คนทั่วไปอย่างพอเพียงแล้วก็คนทั้งโลกก็เลิกความเชื่อแบบเดิมๆ และจะขานรับว่าสิ่งที่พวกเราคิดนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องนั่นก็คือว่า ทำไมเราคิดถึงความสงบสุขความรัก และการมอบสิ่งต่างๆ แก่เด็กของเรา แทนที่จะคิดถึงแต่เรื่องราวของการโค่นล้มฝ่ายบริหาร หรือการทำสงครามข้ามประเทศรวมถึงการมุ่งแต่เรื่องทางธุรกิจเหมือนเช่นที่เคยผ่านมา
                  ว่าแล้ว เพื่อนคนหนึ่งของเราก็ส่ายศีรษะ ถึงความโง่เขลาที่พวกเราได้ผ่านพ้นมา แล้วก็พูดเน้นขึ้นว่า ในกลุ่มพวกเรานี้ไม่มีใครที่ยึดถืออุดมคตินั้นเลยหรือ?” ฉันได้ทีจึงรีบตอบออกไปว่า ฉันนี่แหล่ะที่ยึดถือ เพราะฉันไม่เป็นครู ! ฉันคิดว่าแทนที่เราจะเปลี่ยนความคิดของคนเป็นพันๆ ในครั้งเดียวนั้นสู้ฉันไปชี้แนะผู้คนกลุ่มเล็กๆ เป็นประจำทุกวัน เพื่อที่เค้าจะได้กลับไปสอนลูกหลานให้ไม่มีอคติเกี่ยวกับเรื่องภูมิภาค คนเหนือ คนใต้ สีผิว หรือการแบ่งแยกเพศ แล้วหันไปรับผิดชอบชุมชนของเขาเองจะดีกว่า ถ้าเปรียบก็คงจะเหมือนกับการนำเอาน้ำหยดเล็กๆ ใส่ลงไปในบ่อ เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างได้แต่ที่ฉันจะทำได้แน่ๆ ก็คือการสอนให้เด็กสามารถคิดไตร่ตรองให้ดีว่า อะไรที่เขาควรจะทำ เพื่อที่เขาจะได้ดำรงชีวิตโดยพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งสำหรับฉันแล้วมันเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่ฉันภาคภูมิใจ และอยากที่จะทำให้เด็กทุกๆ คน

แม่พิมพ์ พ่อพิมพ์ ของชาติ

 

                 ถ้าการสอนเป็นเรื่องง่ายจริงทุกคนก็น่าจะสอนได้แต่ครูหลายๆท่านก็ได้เสนอแนะว่า ภาระหน้าที่ของครูนั้นมีข้อเสี่ยงอยู่มากมายเช่น หากเราไม่ระมัดระวังคำพูดที่เราตำหนิเด็กไป คำพูดเหล่านั้นก็อาจเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขาเลยก็เป็นได้ และกี่ครั้งแล้วที่คุณได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดว่า แรงสนับสนุนและความช่วยเหลือจากคุณครู อาจมีอิทธิพลถึงขั้นทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป แต่ในอีกด้านหนึ่งฉันก็ได้ยินพวกผู้ใหญ่หลายคนพูดอย่างขมขื่นว่า เขาจำได้ดีทีเดียวที่เรียนอยู่เกรด 3 ครูบอกว่าเขาโง่ ไม่มีพรสวรรค์ หรือเป็นคนที่ไม่น่าเสียเวลาด้วย คำพูดเหล่านนี้พวกเขายังจำได้มิเคยลืม

  • ในฐานะของการเป็นครู คุณไม่ควรเอาอารมณ์อันขุ่นมัวที่คุณได้รับมาในวันที่เลวร้ายไปลงกับเด็กๆ

  • ในฐานะที่เป็นครู คุณควรจะเป็นแบบอย่างที่ดี ด้วยการประพฤติปฏิบัติมิใช่เพียงแค่คำพูด
  • ในฐานะที่เป็นครู คุณจะถูกจดจำไปตลอด แต่การจะให้คนจดจำในด้านไหนนั้น ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวของคุณ

                  การสอนนั้นเป็นงานที่สำคัญ และต้องการความใส่ใจและการอุทิศตนมากกว่างานอื่นๆ ดังบัญญัติประการที่ 1 เพื่อการสอนที่เป็นเลิศ ที่กล่าวว่า คุณไม่ควรจะมาเป็นครู หากคุณไม่รู้สึกรัก และคิดว่ามันเป็นอาชีพที่ยิ่งใหญ่
ซึ่งความสำเร็จใดๆ ก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ และความความต้องการของตัวคุณเอง การสอนอาจเป็นได้ทั้งสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณ หรืออาจจะกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเลยก็เป็นได้

ขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือ ครูยุคใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ 
พิมพ์ครั้งที่ 1 : มีนาคม 2545
จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์เบรนเน็ท
จัดจำหน่ายโดย บริษัท เอ็กซเปอร์เน็ท จำกัด

15 ความคิดเห็น:

  1. เหมาะกับเรียนครูเลย

    ตอบลบ
  2. สามารถนำไปใข้ได้เลย

    ตอบลบ
  3. สามารถนำไปใข้ได้เลย

    ตอบลบ
  4. สุดยอดเลยจร้าาา

    ตอบลบ
  5. ข้อมูลดี ๆ สำหรับคนที่จะไปเป็นครูอย่างเราเลย

    ตอบลบ
  6. เนื้อดี น่าสนใจ จร้า

    ตอบลบ
  7. หากวันหนึ่งเราได้ไปเป็นคุณครู จะได้เข้าใจเด็กนักเรียนมากขึ้น

    ตอบลบ
  8. ข้อมูลดีมากกกกกก

    ตอบลบ
  9. เมื่อเราเป็นครูนี้ต้องสอนเด็กๆให้เป็นคนเก่ง

    ตอบลบ
  10. จ้า เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆ รู้ไว้ใช่จะเสียหายเน๊อะ

    ตอบลบ
  11. จะจำไว้แล้วนำไปปฎิบัติจร้า

    ตอบลบ